Page 17 - ThaiVersion
P. 17
“ทันทีที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร จะมีเรือหลวงเข้ามาต้อนรับ คณะเดินทางจะนำาจดหมายมอบแก่เจ้าเมือง
ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของกษัตริย์เพื่อนำาไปมอบให้แก่กษัตริย์ต่อไป ในท้องถนนเต็มไปด้วยกองทหารติดอาวุธเป็น
จำานวนมาก และจะมีช้างซึ่งประดับประดาด้วยอาภรณ์พร้อมกับบรรดาข้ารับใช้ที่นำาหน้าขบวนทูตเพื่อเข้าเฝ้าพระมหา
กษัตริย์ในพระราชวัง ในการเข้าเฝ้าจะมีการมอบของขวัญที่มีค่าอย่างมากมายมหาศาลแก่กษัตริย์เพื่อแสดงถึงความ
เคารพและเชิดชูความยิ่งใหญ่”
นักเดินทางชาวเปอร์เซียได้เดินทางมาถึงเมืองหลวงใน ค.ศ. 1602 และประทับใจในวิธีชีวิตบนน้ำา และจากงานใน
ศตวรรษที่ เรื่องเรือของสุไลมาน ได้เปลี่ยนชื่อของเมือง ในตะวันออกกลางมาเป็น “Sahr-e nav” หรือ “เมืองแห่ง
เรือ และ แม่น้ำา” ชาวเปอร์เซียนไม่ได้มีบทบาทแค่เพียงด้านการค้าเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำาคัญในด้านการรับใช้ราช
สำานักไทยอีกด้วย ดังเช่น ตระกูลบุนนาค ซึ่งมีบุคคลสำาคัญในตระกูลที่ได้ดำารงตำาแหน่งเป็นผู้สำาเร็จราชการแผ่นดิน
ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ครองราชย์ปี ค.ศ. 1868-1910) เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ จนกระทั่ง
ถึงปี ค.ศ. 1873 ชาวเปอร์เซียนส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธและคำาศัพท์ของเปอร์เซียจำานวนมากได้
เข้ามาอยู่ในภาษาไทย เช่น คำาเรียกชื่อผักและผลไม้ เช่น กุหลาบ องุ่น และกะหล่ำาปลี และยังรวมไปถึงคำาว่า “ฝรั่ง”
ซึ่งใช้เรียกชาวตะวันตกและชาวอเมริกาเหนือซึ่งใช้มาจนถึงปัจจุบัน
บันทึกของเอนเยลเบิร์ต แกมป์เฟอร์ (Engelbert Kaempfer) ในปี ค.ศ. 1690 ได้บรรยายถึงความงามของธรรมชาติ
ในสยามว่า “เมื่อเรามาถึงปากน้ำา (สมุทรปราการ) ห่างจากฝั่งแม่น้ำาประมาณ 7 ไมล์ เราพยายามเดินเข้าไปในป่าที่
ค่อนข้างแห้ง เต็มไปด้วยเสือและสัตว์ป่าที่หิวกระหาย บริเวณฝั่งแม่น้ำาค่อนข้างตื้นเขินและเต็มไปด้วยดินโคลน จาก
กรุงเทพถึงท่าเรือไม่มีอะไรนอกจากป่า “นอกจากนี้ ระหว่างล่องเรือ ยังได้พบกับสัตว์หลากหลายพันธุ์ ที่เห็นได้ชนิด
แรก คือ ลิงที่มีขนสีดำา.... หิ่งห้อยคือสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่น่าสนใจ หิ่งห้อยนั้นลอยอยู่ตามต้นไม้ซึ่งจะอยู่รวมกันตามกิ่ง
ก้านสาขาของต้นไม้ พร้อมเปล่งแสงออกมาวิบวับเป็นจังหวะ เปรียบเหมือนจังหวะการเต้นของหัวใจ นักเขียนหลาย
คนได้ตื่นตาตื่นใจกับปรากฎการณ์ทางธรรมชาตินี้เช่นเดียวกัน”
“รอบๆตัวเมืองคือชานเมืองซึ่งเต็มไปด้วยหมู่บ้านที่ผู้คนอาศัยอยู่ในเรือนแพบนน้ำา แต่ละหลังอาจจะมีสองครอบครัว
หรือสาม หรือมากกว่านั้นอยู่ร่วมกัน บางระยะเวลาก็ได้เคลื่อนย้ายถิ่นฐานและกลับมาใหม่เมื่อฤดูน้ำาขึ้น ผู้คนได้ใช้
ชีวิตบนแพทั้งเพื่อค้าขายสินค้าและอยู่อาศัย”
ฝรั่งเศสได้เข้ามามีบทบาทที่สำาคัญในอยุธยาช่วงศตวรรษที่ 17 และได้เป็นสื่อกลางในการเริ่มต้นการติดต่อระหว่างไทย
และฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1680 บริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศส(Frence East India) ได้ส่งเรือเข้ามายังประเทศไทย
และได้ส่งคณะทูตเพื่อดำาเนินการเจรจาข้อตกลงการค้ากับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ค.ศ. 1657-1688) หลังจาก
นั้นทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนคณะทูตระหว่างกัน ในปีเดียวกันและในปี ค.ศ. 1684 คณะทูตไทยได้เดินทางไปปารีสใน
สมัยของพระเจ้าหลุยส์ท 14 ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ชาวฝรั่งเศสที่มีสำาคัญอีกคนหนึ่ง คือ กี ตาร์ชาร์ (Guy
Tachard) ที่มาเข้ามาในปี ค.ศ. 1685 ในบันทึกการเดินทางไปสู่ประเทศสยามในปี ค.ศ. 1688 ได้กล่าวถึงความ
อุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่เต็มไปด้วยฝูงลิงตามต้นไม้บริเวณสองฝั่งน้ำา และเสริมอีกว่า “ไม่มีความเพลิดเพลินใด
จะสู้การมองดูฝูงนกกระสาบินไปมาตามต้นไม้น้อยใหญ่ นกสีขาวซึ่งบินปะปนกับสีเขียวของต้นไม้ทำาให้ทัศนียภาพ
น่ามองยิ่งนัก นกในป่าเหล่านี้ต่างมีปีกที่สวยงามเต็มไปด้วยสีสัน บ้างมีปีกสีเหลือง บ้างแดง บ้างเขียว โบยบินไปมา”