Page 15 - ThaiVersion
P. 15
โล้ชิงช้าขึ้นชิงช้าทีละ 4 คน และทำาการแกว่งชิงช้าเพื่อฉวยเงินรางวัลที่เป็นทองคำาที่ผูกแขวนไว้กับเสาสูง ซึ่งพิธีดังกล่าว
ได้ถูกระงับไปในปี 1935 แต่มีแผนที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ในปัจจุบันซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าพิธีนี้จะได้รับความสนใจ
จากบรรดานักท่องเที่ยวอย่างแน่นอน โปรตุเกสเป็นชาวตะวันตกชาติแรกที่เดินทางเข้ามาในเอเซียและได้เข้ามาติดต่อ
กับกรุงศรีอยุธยา ในปี 1511 ในขณะที่ปิดล้อมเมืองท่ามะละกา ดยุคแห่งอัลบูแกร์ได้ส่งส่งทูตพร้อมของบรรณาการเพื่อ
เจริญสัมพันธไมตรีกับสยามตามปรากฎในบันทึกของโตเม ปิเรส (Tome Piris) นักเดินทางชาวโปรตุเกส ในหนังสือ
“The Suma Oriental” ในปี 1515
“ ... ดินแดนแห่งสยามมีขนาดกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยบรรดาขุนนางและพ่อค้าต่างชาติจำานวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็น
ชาวจีนเนื่องจากสยามได้ทำาการค้ากับชาวจีนเป็นจำานวนมาก ซึ่งพวกเขาได้รับการยกย่องในด้านความรอบคอบและ
การเป็นที่ปรึกษาที่ดี ราชอาณาจักรถูกปกครองด้วยความยุติธรรมและพระมหากษัตริย์ทรงประทับอยู่ที่เมืองโยเดีย
[อยุธยา]”
สามปีถัดมาในปี ค.ศ. 1518 สยามและโปรตุเกสได้ลงนามในสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์ซึ่งสยามได้ให้
สิทธิ์โปรตุเกสในด้านศาสนาและการพาณิชย์ โดยฝ่ายโปรตุเกส ได้สัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือทางการทหารแก่
สยามโดยสอนทหารชาวสยามให้รู้จักศิลปะในการสงครามและการสร้างป้อมปราการ ในปี ค.ศ. 1536 ชาวโปรตุเกส
จำานวน 120 คนได้เข้าร่วมรบโดยเป็นทหารอารักขาให้กับสมเด็จพระชัยราชาธิราช (ครองราชย์ปี ค.ศ.1534-1546)
ชาวโปรตุเกสได้รับพระราชานุญาติให้สร้างบ้านเรือนและโบสถ์ในคริสต์ศาสนาในราชอาณาจักรอยุธยาและต่อมา
ในกรุงเทพซึ่งตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำาใกล้สะพานพุทธและอีกจุดหนึ่งคือโบสถ์ซางตาครู้สซึ่งเป็นโบสถ์คาทอลิกได้ถูกสร้าง
ขึ้นในปี ค.ศ. 1770 อิทธิพลของโปรตุเกสที่มีต่อสยามอีกสิ่งหนึ่งที่สำาคัญ คือ ด้านการทำาขนมคาวหวาน ซึ่งชาว
โปรตุเกสเป็นผู้นำาสูตรการทำาขนมที่มีส่วนผสมของไข่แดงเข้ามาในไทย เช่น ขนมฝอยทอง อันโด่งดัง
ชาวญี่ปุ่นในยุคแรกที่เข้ามาในสยาม ได้เข้ามาเป็นกองกำาลังอาสา ดังปรากฎในบันทึกสงครามยุทธหัตถีในปี ค.ศ.
1593 ที่มีกองกำาลังทหารญี่ปุ่นจำานวน 500 คนได้เข้าร่วมทำาสงครามกับพม่าในแผ่นดินของสมเด็จพระนเรศวร
มหาราช (ครองราชย์ปี ค.ศ. 1590-1605) ซึ่งกองอาสาญี่ปุ่นได้รับหน้าที่เป็นทหารทัพหน้าป้องกันสองกษัตริย์ใน
สงครามบนหลังช้าง ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับญี่ปุ่นได้เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1621 ซึ่งจากพระราชสาส์นใน
ปี 1626 ของพระเจ้าทรงธรรม(ครองราชย์ ปี ค.ศ. 1620-1628) ถึงรัฐบาลโชกุนแห่งตระกูล “โตกุกาวะ” ได้แสดง
ถึงมิตรภาพระหว่างสองประเทศ ตามเนื้อความตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “มหาสมุทรที่กว้างใหญ่ที่กั้นระหว่างสยามและ
ญี่ปุ่นดูจะเป็นอุปสรรคต่อการติดต่อของสองชาติ อย่างไรก็ดี การค้าขายทางเรือที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำาเสมอได้ทำาให้ความ
สัมพันธ์ระหว่างสองชาติแน่นแฟ้นขึ้น เป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจนว่า ท่าน [โชกุน] ได้มีไมตรีจิตอย่างแท้จริงให้กับชาว
สยาม ไมตรีจิตที่จริงแท้ยิ่งกว่าสายสัมพันธ์ในตระกูลเสียอีก” ท่านโชกุนได้มีสาสน์ตอบกลับมาว่า “มิตรภาพระหว่าง
สองชาติมิสามารถทำาลายลงได้ เพราะเราต่างอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อใจระหว่างกัน มหาสมุทรที่กั้นขวางระหว่าง
สองชาติหาได้มีความสำาคัญไม่”
ภายในช่วงระยะเวลาหลายปี ชาวญี่ปุ่นได้เข้ามาสร้างชุมชนและอยู่อาศัยในสยามเป็นจำานวนมากถึงประมาณ 1,500 คน
(บางข้อมูลคาดว่าน่าจะสูงถึง 7,000 คน) ส่วนใหญ่ได้ทำาการค้าขายโดยสินค้าญี่ปุ่นที่เป็นที่ต้องการของคนไทย คือ
เงินเหรียญ ดาบ กล่องเคลือบ กระดาษคุณภาพสูง เป็นต้น ในช่วงศตวรรษที่ 17 มีซามูไรญี่ปุ่นมากถึง 5,000 คน