Page 16 - ThaiVersion
P. 16

ได้เข้าร่วมรบในสงครามพม่า    ทหารรับจ้างเหล่านี้อยู่ภายใต้การนำาของนายพล  ยามาดา  นางามาสา  (Yamada
            Nagamasa) ซึ่งเป็นเจ้ากรมอาสาญี่ปุ่น ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากพระเจ้าทรงธรรมให้เป็น ออกญา

            (เจ้าพระยา)  และได้รับคำาสั่งให้ไปปกครองเมืองนครศรีธรรมราชทางใต้    ซึ่งความดีความชอบของท่านยังคงตกทอด
            มาถึงบรรพบุรุษซึ่งเป็นต้นตระกูลยมราช ซึ่งต่อมาเป็นชื่อของเขตบริเวณสี่แยกเพชรบุรี พิษณุโลกและถนนหลานหลวง
            ในกรุงเทพ ตามพงศาวดารของกรุงศรีอยุธยาได้บันทึกว่าในช่วงปี ค.ศ. 1600 สมัยพระเจ้าเอกาทศรส (ครองราชย์ ปี
            ค.ศ. 1605–1610) “พระองค์ได้สนพระทัยในการสร้างความมั่งคั่งให้กับเงินคงคลัง” และได้ “โปรดให้มีการติดต่อกับ

            ชาวต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวโปรตุเกส สเปน ฟิลิปปินส์ จีน ชาวดัตซ์และญี่ปุ่น”


            ในปี ค.ศ. 1601พ่อค้าชาวดัทซ์ได้เริ่มเข้ามาในอยุธยา และในปี ค.ศ. 1608 ได้รับพระบรมราชานุญาตจากสมเด็จพระ
            เอกาทศรถให้ตั้งสถานีการค้าแห่งแรกและภายหลังได้มีการแลกเปลี่ยนทางการทูตเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี    เช่นเดียว

            กับชาวโปรตุเกสและญี่ปุ่นที่เข้ามาเป็นกองกำาลังอาสา ในระหว่างปี ค.ศ. 1630 – 1632 ชาวดัทซ์ได้เข้าร่วมรบในสมัย
            สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (ครองราชย์ปี ค.ศ. 1630-1645) ในสงครามการสู้รบกับกัมพูชา และได้รับสิ่งตอบแทน
            เป็นการผูกขาดการค้าของสินค้าบางชนิด เช่น หนังกวาง หนังปลากระเบนและไม้ฝาง (มีถิ่นกำาเนิดทางอินเดียตะวันตก
            ซึ่งมีเนื้อไม้เป็นสีแดงและมีสรรพคุณเป็นสมุนไพร) โดยแลกกับเครื่องเงินและทองแดง



            พ่อค้าชาวดัทซ์นามว่า  ฟรานซิล  คารอนและจูทส์  สเคาเตน  ได้บันทึกในหนังสือที่บรรยายรายละเอียดของราช
            อาณาจักรสยามและญี่ปุ่น ตีพิมพ์เมื่อปี 1671 ซึ่งได้บรรยายความประทับใจในราชอาณาจักรอยุธยา ดังใจความตอน
            หนึ่งว่า “เมืองไอยูเดีย (อยุธยา) นั้นล้อมรอบไปด้วยกำาแพงอิฐขนาดใหญ่..ถนนภายในกำาแพงเมืองนั้นกว้างใหญ่ เป็น

            เส้นตรงและเชื่อมกัน แม้ว่าบางเส้นทางจะเป็นคู คลองขนาดเล็ก  ชาวบ้านก็ยังสัญจรไปมาโดยวิธีทางเรือที่สามารถ
            เทียบท่าหน้าประตูบ้านเลยทีเดียว “เมืองนั้นสวยงามเป็นอย่างยิ่งและ เต็มไปด้วยโบสถ์วิหารซึ่งมีจำานวนมากกว่า ๓๐๐
            แห่งและก่อสร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจงที่สุด  โบสถ์วิหารเหล่านี้มีปรางค์  เจดีย์และรูปปั้นรูปหล่ออย่างมากมาย  ใช้ทอง
            ฉาบอยู่ภายนอกสีเหลืองอร่ามทั่วไปหมด  พระราชวังของกษัตริย์ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำาซึ่งมีอาณาบริเวณคล้ายคลึงกับเมือง

            ขนาดเล็กมีความยิ่งใหญ่และงดงาม อาคารหลายแห่งถูกประดับประดาเป็นสีทอง”


            “หากมีคราใดที่พระมหากษัตริย์เสด็จดำาเนินทางน้ำา จะมีบรรดาขุนนางกว่า 200 คนพร้อมด้วยฝีพายอีก 80-90 คน
            ตามเสด็จบนเรือที่ประดับประดาไปด้วยทอง  กษัตริย์จะทรงประทับอย่างสง่าอยู่บนบังลังค์โดยมีบรรดาขุนนางเข้าเฝ้า

            อยู่ไม่ห่าง”  การสัญจรทางเรือซึ่งแพร่หลายในเมืองไทยได้สร้างเอกลักษณ์ให้กับชาวต่างชาติจนถึงปัจจุบัน  ในปี  ค.ศ.
            1687 ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ (Simon de la Loubere) ได้บรรยายถึงสยามตอนหนึ่งใจความว่า “เส้นทางการเดินทาง
            ในสยามส่วนใหญ่คือทางน้ำาลัดเลาะไปตามคลอง ซึ่งคล้ายคลึงกับเมืองเวนิซที่มีสะพานที่ทำาจากอิฐทั้งเล็กใหญ่” ซึ่งชาว
            ต่างขาติในยุคแรกได้ให้สมญานามต่ออยุธยาและภายหลังคือกรุงเทพว่าเป็น “เวนิซตะวันออก” อย่างไรก็ดีสมญานาม

            นี้ได้ถูกเรียกในอีก 21 เมืองในเอเซีย ในปี ค.ศ. 1688 นิโกลาส์ แฌร์แวส (Nicholas Gervaise) ได้ประทับใจกับ
            บ้านเรือนบนน้ำาในระหว่างการเดินทางไปอยุธยา:


            “สองฝากฝั่งของแม่น้ำาล้วนเต็มไปด้วยบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของคนซึ่งมีลักษณะเหมือนแพที่ทำาจากไม้ไผ่และยังมีเรือที่

            จำาหน่ายสินค้าจากจีน  ซึ่งมีมากมายจนทำาให้อดคิดไม่ได้ว่าเส้นทางหลักของการเดินทางและการค้าขายของชาวสยาม
            คือ ทางน้ำา ไม่ใช่ทางบก”
   11   12   13   14   15   16   17   18   19   20   21