Page 14 - ThaiVersion
P. 14

มนต์เสน่ห์ที่แตกต่าง




            ประเทศไทยเป็นเมืองที่สร้างความบันเทิงใจให้กับบรรดานักท่องเที่ยวมามากกว่าศตวรรษ  แต่สิ่งที่เด่นชัดของการ
            ท่องเที่ยวไทย คือ ความประทับใจของนักท่องเที่ยวยุคปัจจุบันได้เป็นสิ่งเดียวกันที่สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน
            ในอดีต พวกเขาไม่ได้มาเพื่อวัตถุประสงค์ในการท่องเที่ยว หากแต่เป็นวัตถุประสงค์ด้านการฑูต การค้าหรือภารกิจทาง
            ด้านศาสนา ดังเช่น บรรดาผู้นำาโลกอย่างประธานาธิบดียูลิสซีส เอส. แกรนต์ (Ulysses S. Grant) ที่ได้มาเยือนไทย

            ในปี  1879  และ  ซาเรวิตช์แห่งรัสเซียที่ได้เสด็จมาในปี  1891  ได้มีบันทึกของบรรดาผู้มาเยือนในอดีตมากมาย
            ที่ได้กล่าวถึงความงดงามของราชอาณาจักรไทยรวมถึงวัดวาอารามต่างๆ   พวกเขายังได้ประทับใจกับความงามของ
            สองฝั่งคลองและแม่น้ำาลำาธาร รวมถึงไมตรีจิตและการต้อนรับของคนไทยที่มีต่อผู้มาเยือน สิ่งที่ปรากฎเด่นชัดในบันทึก
            การเดินทางช่วงก่อนศตวรรษที่  20  คือ  การบรรยายถึงความเขียวขจีของผืนแผ่นดินที่ว่างเปล่าซึ่งเต็มไปด้วยโอกาส

            อย่างมากมาย    ผู้เขียนบันทึกยังได้กล่าวถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ซึ่งดูจะเอื้อต่อการเพาะปลูกพืชพันธุ์ต่างๆได้
            เป็นอย่างดีรวมไปถึงต้นไม้ที่เต็มไปด้วยผลไม้นานาชนิด  ระหว่างการเดินทาง  นักท่องเที่ยวได้ผ่านป่าดงดิบเป็นระยะ
            ทางยาว  ซึ่งได้พบกับหมู่บ้านคนเป็นช่วงๆ    แสงที่สาดส่องลงมาผ่านต้นไม้น้อยใหญ่และบรรยากาศอันเย็นสบายจาก
            ท้องฟ้าที่แจ่มใสช่วยเพิ่มความความสดชื่นให้กับการเดินทาง



            ภายหลังประเทศไทย  (หรือที่รู้จักกันดีในชื่อสยาม)ได้เป็นศูนย์กลางทางการบิน  และได้เป็นเมืองสำาคัญของบรรดา
            พ่อค้า  ผู้แสวงหาสมบัติ  ผู้แสวงบุญ  นักผจญภัยรวมไปถึงนักล่าอาณานิคม  สิ่งที่น่าสนใจคือคนหลากหลายชาติที่เข้า
            มาในเมืองไทย ซึ่งมีทั้งเอเซีย ยุโรป หรือแม้แต่แอฟริกาเหนือ ซึ่งมีจำานวนมากที่เข้ามาและใช้ชีวิตอยู่อย่างถาวร และ

            ได้สร้างลูกหลานที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในสังคมไทย  ผู้มาเยือนในอดีตบางกลุ่มไม่ได้เข้ามาเพื่อวัตุประสงค์ด้านการท่อง
            เที่ยว แต่ตรงกันข้ามเพื่อทำาการยึดอำานาจ  ในปี 1252 กุบไลข่านและกองทัพได้เดินทางมาจากทางใต้ของมองโกเลีย
            และได้ทำาศึกชนะเหนือดินแดนเสฉวนและเฉิงตู   กองทัพกุบไลข่านได้เข้าตีราชอาณาจักรไทยทางเมืองน่านเจ้าซึ่งใน
            ปัจจุบันคือมณฑลยูนนาน  ในปี 1294 อาณาจักรสุโขทัยและเชียงใหม่ได้ยอมสวามิภักดิ์ให้กับราชวงศ์หยวนและในรัช

            สมัยของพ่อขุนรามคำาแหงได้โปรดให้ส่งเครื่องบรรณาการไปเจริญสัมพันธไมตรีจนถึงปี 1299  ครึ่งศตวรรษหลังจาก
            นั้น  พ่อค้าชาวจีนได้เริ่มเข้ามาในไทยผ่านทางเรือสำาเภาที่เดินทางมาจากมณฑลฝูเจี้ยนและกวางตุ้งเพื่อแสวงหาโอกาส
            ในการค้า   พ่อค้าชาวอินเดียในช่วงราชวงศ์โจฬะและปาลลาวะได้เริ่มเดินทางเข้ามาในไทยช่วงราวศตวรรษที่ 5 พวก
            เขาได้ตั้งสถานีการค้าในบริเวณปากแม่น้ำาทางตอนใต้ของคาบสมุทรและได้ค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับหมู่บ้านในแถบนั้น

            การค้าระหว่างชาวไทยและชาวอินเดียได้เริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงอาณาจักรสุโขทัยในปี 1275


            พวกพราหมณ์ซึ่งเข้ามาในช่วงอาณาจักรขอมเรืองอำานาจได้สร้างอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างมาก และได้รับการ
            ยกย่องในความเชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์รวมถึงความรู้ในโบราณราชประเพณีของกษัตริย์ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากทาง

            อินเดีย  ในสุโขทัยและอยุธยาได้มีวัดพราหมณ์เกิดขึ้นเป็นจำานวนมาก พราหมณ์ยังเป็นผู้รับผิดชอบในการดำาเนินงาน
            พระราชพิธีต่างๆตามแนวคิดที่ว่ากษัตริย์คือสมมติเทพนั่นเอง ในยุคปัจจุบันพราหมณ์ยังมีบทบาทในการประกอบพระ
            ราชพิธีที่สำาคัญของกษัตริย์ เช่น พระราชพิธีสถาปณามกุฎราชกุมาร  พระราชพิธีโสกันต์ รวมถึงการหล่อพระพุทธ
            รูปทองสัมฤทธิ์  พราหมณ์จากโบสถ์พราหมณ์ที่อยู่ใกล้วัดสุทัศน์  ยังคงเป็นผู้ประกอบพิธีสำาคัญอย่างเช่นพิธีโล้ชิงช้าซึ่ง

            เป็นประเพณีของชาวฮินดูที่ต้อนรับการเสด็จลงมายังโลกของพระอิศวร  พิธีโล้ชิงช้าที่มีชื่อเสียงนี้ประกอบไปด้วยผู้ที่จะ
   9   10   11   12   13   14   15   16   17   18   19