Page 10 - ThaiVersion
P. 10

โดยราชอาณาจักรทางตอนใต้โดยพระเจ้าอู่ทองซึ่งมีดินแดนอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำาเจ้าพระยาและได้บัญชาการ
            ให้ทหารขุดลอกคูรอบเมืองเพื่อสร้างป้อมปราการทางน้ำาล้อมรอบเมือง  ซึ่งนับแต่ปี  1351  พระเจ้าอู่ทองได้สร้าง

            ศูนย์กลางทางอำานาจใหม่ในทางตอนกลาง      และได้ตั้งชื่อราชธานีใหม่ว่าอยุธยาตามชื่อเมืองอโยธยาทางตอนเหนือ
            ของอินเดีย  ซึ่งนามอโยธยานั้นสอดคล้องกับความเชื่อที่เป็นแผ่นดินที่ประสูติของพระราม  กษัตริย์ที่เป็นดังสมมติเทพ
            ตามวรรณกรรมฮินดู  วรรณกรรมรามายณะยังเป็นวรรณกรรมที่แพร่หลายไปเกือบทุกประเทศในทวีปเอเซียตะวันออก
            เฉียงใต้ (คนไทยรู้จักดีในชื่อรามเกียรติ)



            การตั้งชื่อดังกล่าวสืบเนื่องจากความตั้งใจของพระเจ้าอู่ทองที่ปรารถนาจะที่ใช้ชื่อเสริมสร้างบารมีของราชวงศ์ เนื่องจาก
            พระรามถือเป็นอวตารของพระวิษณุ  มหาเทพผู้ปกปักรักษา  ร่วมกับพระพรหม  มหาเทพ  ผู้สร้างทุกสรรพสิ่งและ
            พระอิศวร  (พระศิวะ)  รวมเป็นสามมหาเทพตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดูและศาสนาศาสนาพราหมณ์ที่เป็นต้น

            กำาเนิดของพระราชพิธีต่างๆ ของพระมหากษัตริย์ไทย นอกจากนี้ยังปรากฎอยู่ในแนวคิดของการตั้งพระนามของกษัตริย์
            เช่น “รามคำาแหง” หรือกษัตริย์ในสมัยอยุธยาอีกหลายพระองค์ หรือแม้กระทั่งในราชวงศ์จักรีซึ่งเป็นราชวงศ์ที่สถาปนา
            กรุงเทพเป็นราชธานีในปี 1792 และได้ปกครองราชอาณาจักรไทยมาจนถึงปัจจุบันผ่านการปกครองแบบราชาธิปไตย
            ภายใต้รัฐธรรมนูญ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ในรัชกาลที่ 9 ยังมีอีกพระนาม

            คือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 9


            อาณาจักรอยุธยาได้แผ่ขยายอำานาจออกไปทางภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งรวมทั้งครึ่งหนึ่งของประเทศกัมพูชา
            และสี่รัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซียถึง 417 ปี ความยิ่งใหญ่และความร่ำารวยของราชอาณาจักรทำาให้ภายใน

            ปี 1680 ได้มีประชากรถึง 1 ล้านคนมากกว่าจำานวนประชากรของเมืองลอนดอนในขณะนั้น  จากความรุ่งเรืองดังกล่าว
            ส่งผลให้อยุธยาได้กลายเป็นเมืองที่ดึงดูดทั้งพวกยุโรปและเอเซียให้เข้ามาทำาการค้า


            นอกจากความสนใจของบรรดาพ่อค้าแล้ว  อยุธยายังเป็นเมืองที่ได้รับความสนใจจากพม่าซึ่งได้เข้ามารุกรานหลายต่อ

            หลายครั้งและจากความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าในการทำาสงครามกับอยุธยา พม่าได้รับชัยชนะเหนือกรุงศรีอยุธยาใน
            ที่สุดในปี 1767 และได้เผาทำาลาย กวาดต้อนทรัพย์สินและผู้คนไปหมดสิ้น ภายใน 3 ปี กรุงศรีอยุธยาซึ่งครั้งหนึ่ง
            มีประชากรเป็นล้านคนได้เหลือแต่เพียงเศษซากปรังหักพังและได้กลายเป็นเมืองร้างที่เหลือผู้คนไม่ถึงหลักหมื่น



            กษัตริย์องค์ถัดมาที่มีบทบาทสำาคัญคือพระเจ้าตากสินที่มีเชื้อสายจีนซึ่งเป็นผู้ขับไล่กองกำาลังพม่าออกไปจาก
            กรุงศรีอยุธยา  กองกำาลังทหารในพม่าขณะนั้นได้ยุ่งกับการทำาศึกกับกองทัพจีนที่เข้ามารุกรานจากทางเหนือ  พระเจ้า
            ตากสินจึงได้ใช้โอกาสนี้ในการขับไล่ข้าศึกพม่า ด้วยความตระหนักดีว่าการจะฟื้นฟูกรุงศรีอยุธยาให้เป็นราชธานีดังเดิม
            นั้นคงเปล่าประโยชน์และด้วยความปรารถนาที่จะสร้างราชธานีให้ห่างไกลของพื้นที่เดิมเพื่อป้องกันข้าศึกศัตรูให้กลับ

            มารุกรานได้อีก จึงทำาให้พระเจ้าตากสินย้ายราชธานีใหม่มาทางฝั่งธนบุรี ตรงข้ามพระบรมมหาราชวัง พระเจ้าตากสินได้
            ใช้อยุธยาเป็นศูนย์บัญชาการรบและในที่สุดได้สามารถกอบกู้เอกราชคืนจากพม่าได้สำาเร็จ  แต่สถานการณ์ภัยสงคราม
            ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในรัชสมัยของท่านได้ทำาให้พระเจ้าตากสินถูกบังคับให้สละราชสมบัติในปี 1782



            ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว   แม่ทัพใหญ่ที่ได้เสร็จจากการปราบศึกสงครามจากทางลาวได้ถูกอัญเชิญเสด็จขึ้นป็นกษัต
            ริย์และได้สถาปนาราชธานีใหม่ขึ้น  ทรงมีพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  หรือ  พระบาทสมเด็จ
   5   6   7   8   9   10   11   12   13   14   15